(จับตานิวเคลียร์ ฉบับที่ 18, พ.ย.-ธ.ค. 2555)
“เซลลาฟิลด์” ไม่ใช่แค่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงหนึ่ง
แต่เป็นเสมือน “นิคมอุตสาหกรรมนิวเคลียร์”
ในเขตคัมเบรียทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ มีเนื้อที่ 6 ตารางกิโลเมตร
(ประมาณ 3,750 ไร่) อันเป็นที่ตั้งของโรงงานนิวเคลียร์หลายประเภท
นับตั้งแต่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ใช้ในทางทหาร โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
โรงงานสกัดแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้ว โรงงานผนึกกากนิวเคลียร์ด้วยแก้ว และอื่นๆ
รวมทั้งกากนิวเคลียร์อีกจำนวนมหาศาลที่ถูกเก็บในบ่อและโกดังหลายแห่ง
ด้วย
อายุที่ยาวนานมากกว่า 50
ปีและอุบัติเหตุที่ทำให้มีการรั่วไหลของรังสีหลายครั้ง
ทำให้เซลลาฟิลด์เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพิษของรังสี
และถูกจัดให้เป็นโรงงานนิวเคลียร์ที่มีอันตรายมากที่สุดในทวีปยุโรป
ตัว
อย่างเล็กๆ ที่แสดงถึงอันตรายของมันก็คือ “นกพิราบปนเปื้อนรังสี”
ที่เปรียบเสมือน “ขยะรังสีบินได้”
ที่สามารถบินเข้าไปในเขตชุมชนพร้อมกับสารกัมมันตรังสีที่ติดอยู่บนขนหรือแม้
กระทั้งมูลของมัน โดยในปี 2541
ทางการอังกฤษต้องออกประกาศเตือนขอให้ประชาชนอย่าแตะต้องหรือนำนกพิราบใน
รัศมี 10 ไมล์จากโรงงานเซลลาฟิลด์มารับประทาน
ปัญหาขยะรังสีบินได้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้มาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยังมีการตรวจพบ “นกนางแอ่นปนเปื้อนรังสี”
อีกด้วย
ในช่วง 50 กว่าปีที่ผ่านมา
เคยมีอุบัติเหตุที่มีความรุนแรงระดับ 3-5 ของอุบัติเหตุนิวเคลียร์
(สูงสุดคือระดับ 7) เกิดขึ้นในโรงงานเซลลาฟิลด์ถึง 21 ครั้ง
สารรังสีที่ปล่อยลงสู่ทะเลทั้งโดยตั้งใจและจากการรั่วไหล
ทำให้ทะเลไอริชถูกจัดให้เป็นทะเลที่ปนเปื้อนรังสีสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ปัจจุบัน
โรงงานส่วนใหญ่ในเซลลาฟิลด์ได้ปิดดำเนินการไปนานแล้ว
ส่วนที่ยังใช้งานอยู่มีเพียงโรงงานผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์แบบอ็อกไซด์ผสม
ที่เรียกว่า “MOX” ซึ่งมีการประกาศยืนยันเมื่อเร็วๆ นี้ว่า
จะหยุดดำเนินการในปี 2561
การลงทุนที่ล้มเหลวอย่างมโหฬาร
หลัง
สิ้นยุคของการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
เซลลาฟิลด์ได้ถูกพัฒนาให้เป็นโรงงานสกัดซ้ำ (reprocessing)
แท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว
เพื่อสกัดเอาพลูโตเนียมและยูเรเนียมที่ยังหลงเหลืออยู่กลับมาใช้เป็นเชื้อ
เพลิงใหม่ ด้วยเงินลงทุนหลายพันล้านยูโรที่มาจากภาษีของประชาชน
“โรงงานเชื้อเพลิง MOX เซลลาฟิลด์” ก็ได้เปิดกิจการในปี 2544
มันถูกออกแบบให้มีกำลังผลิต 120 ตันต่อปี แต่เอาเข้าจริง ในการดำเนินการ 8
ปีแรกกลับสามารถผลิตเชื้อเพลิง MOX ได้เพียง 13 ตันเท่านั้น
โครงการ
นี้ถือเป็นการลงทุนที่ล้มเหลวอย่างมโหฬารที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
อังกฤษ ซึ่งที่จริงแล้ว การ reprocessing
เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วเป็นเรื่องที่ไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
แต่เป็นความพยายามของฝ่ายอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ที่จะหาทางออกให้กับจุดอ่อนข
องพลังงานนิวเคลียร์ในเรื่องปัญหากากนิวเคลียร์
โดยทำให้เห็นว่ามันสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ แต่ในความเป็นจริงก็คือ การ
reprocessing
กลับทำให้มีกากนิวเคลียร์ที่เป็นภาระในระยะยาวเพิ่มมากขึ้นไปอีก
กาก
นิวเคลียร์จำนวนมหาศาลที่เก็บไว้ชั่วคราวในเซลลาฟิลด์มีปริมาณมากถึง 68,000
ลูกบาศก์เมตร หรือเทียบเท่ากับปริมาตรของสระว่ายน้ำโอลิมปิก 27 สระ
ยังไม่นับรวมวัสดุ อุปกรณ์ และซากอาคารต่างๆ ที่เลิกใช้งานแล้ว
ซึ่งถือเป็นกากนิวเคลียร์ที่ต้องทำการบำบัดและจัดเก็บด้วยวิธีการเช่นเดียว
กับการจัดการกากนิวเคลียร์
การรื้อถอน : ต้นทุนที่ต้องจ่ายย้อนหลัง
นับ
จากปี 2548 เป็นต้นมา
นิคมนิวเคลียร์เซลลาฟิลด์ได้ถูกโอนให้อยู่ในความรับผิดชอบของ
“สำนักปลดระวางนิวเคลียร์” (Nuclear Decommissioning Authority : NDA)
ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่ก่อตั้งขึ้นใหม่เพื่อรับมอบภารกิจในการปลดระวางและ
รื้อถอนโรงงานนิวเคลียร์เก่าที่หยุดดำเนินการลงในประเทศอังกฤษ และ
“เซลลาฟิลด์” ก็คือภารกิจแรกของหน่วยงานใหม่แห่งนี้
ตาม
รายงานตรวจสอบการใช้งบประมาณโดยสำนักงานตรวจเงินแห่งชาติของอังกฤษ (The
National Audit Office : NAO) ที่เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนตุลาคม
2555 ระบุว่า
“นับตั้งแต่เปิดดำเนินการมา
ผู้ประกอบการโรงงานเซลลาฟิลด์ไม่ได้คำนึงถึงการปลดระวางหรือการกำกัดกาก
นิวเคลียร์อย่างเพียงพอ
สำนักปลดระวางนิวเคลียร์ต้องรับสืบทอดมรดกของโครงการที่แย่และขาดการเอาใจ
ใส่ อาคารและเครื่องจักรอุปกรณ์กว่า 1,400 รายการซึ่งมีจำนวน 240
รายการที่มีวัสดุนิวเคลียร์นั้น
บางส่วนอยู่ในสภาพทรุดโทรมและมีความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญที่จะเกิดอันตราย
ต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม”
การรื้อถอนนิคมฯ
เซลลาฟิลด์จึงถือเป็นงานอภิมหาหินที่จะต้องรื้อถอนด้วยความระมัดระวัง
ทำความสะอาดการปนเปื้อนรังสี
และผนึกกากนิวเคลียร์ทั้งหมดไว้ในภาชนะที่สามารถป้องกันรังสีได้นาน 100 ปี
เพื่อรอเวลาที่จะพัฒนาสถานที่จัดเก็บกากนิวเคลียร์อย่างถาวรได้สำเร็จ
(ซึ่งยังไม่ทราบว่าเมื่อไหร่)
สำหรับงบประมาณดำเนินการ
ที่ประเมินไว้ในปี 2548 อยู่ที่ 31,500 ล้านยูโร (1.26 ล้านล้านบาท)
แต่เมื่อถึงปี 2555 ตัวเลขประเมินก็พุ่งขึ้นเป็น 67,500 ล้านยูโร (ประมาณ
2.7 ล้านล้านบาท) ภายใต้งบประมาณนี้ เป้าหมายที่กำหนดไว้ก็คือ
การรื้อถอนโรงงานทั้งหมดจะแล้วเสร็จในปี 2563
ยกเว้นกรณีบ่อน้ำเก็บกากนิวเคลียร์และโกดังกากนิวเคลียร์ที่เต็มไปด้วยสาร
กัมมันตรังสีเข้มข้นตั้งแต่สมัยพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
จะต้องใช้เวลารื้อถอนจนถึงปี 2579 เท่านั้นยังไม่จบ
เพราะยังเหลือการก่อสร้างสถานที่จัดเก็บกากนิวเคลียร์ถาวร
ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีสถานที่ที่เหมาะสม
โดยเป้าหมายที่คาดว่าจะทำได้เสร็จสมบูรณ์ก็คือปี พ.ศ. 2663 หรืออีก 100
ปีข้างหน้า !!!
สำนักงานตรวจสอบบัญชีแห่งชาติยังระบุใน
รายงานด้วยว่า “หนี้สินที่ถูกละเลยในประวัติศาสตร์
ทำให้ผู้รับผิดชอบโครงการต้องเผชิญกับความยากลำบากในการที่จะเดินหน้าการปลด
ระวางเซลลาฟิลด์ต่อไป”
“หนี้สินที่ถูกละเลยใน
ประวัติศาสตร์” ของเซลลาฟิลด์ ก้อนนี้
คือภาระจากอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ที่ชาวอังกฤษต้องร่วมกันชดใช้ต่อไปอีกนับ
ร้อยๆ ปี
นิคมนิวเคลียร์เซลลาฟิลด์ : ภาระ 100 ปีในการปลอระวางและรื้อถอน
ประวัติศาสตร์อันยาวนานของนิคมนิวเคลียร์เซลลาฟิลด์เริ่มต้นจากการเป็น
โรงงานผลิตอาวุธของประเทศอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อสงครามโลกยุติลง
การแข่งขันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของชาติมหาอำนาจก็เริ่มต้นขึ้น
โรงงานเซลลาฟิลด์ถูกดัดแปลงให้เป็นโรงงานผลิตพลูโตเนียม
เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างระเบิดปรมาณู เตาปฏิกรณ์วินด์สเกลไพล์ 2
เครื่องจึงถูกก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2490 เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการนี้
ถัดมาคือการก่อสร้างโรงงานสกัดพลูโตเนียมจากแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วของเตา
ปฏิกรณ์วินสเกลไพล์ ที่เรียกว่า “โรงงาน B204” ซึ่งเปิดดำเนินการในปี 2494
ต่อมาในปี 2496
ก็มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แคลเดอร์ฮอลล์และสามารถเปิดใช้งานได้ในปี
2499 ซึ่งถือเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชิงพานิชย์โรงแรกของโลก
แต่แท้จริงแล้ว
วัตถุประสงค์หลักของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แคลเดอร์ฮอลล์ยังคงอยู่ที่การผลิต
พลูโตเนียมเพื่อใช้ในทางทหาร ส่วนไฟฟ้านั้นถือเป็นผลพลอยได้
ในปี 2505
ได้มีการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ต้นแบบของอังกฤษที่ใช้แก๊สเป็นตัวหล่อ
เย็นที่เรียกว่า Windscale Advanced Gas Cooled Reactor (WAGR)
ซึ่งเป็นเตาปฏิกรณ์รุ่นที่ 2 ที่พัฒนามาจากเตาปฏิกรณ์แบบ Magnox
ที่ใช้อยู่ในโรงไฟฟ้าแคลเดอร์ฮอลล์ ถัดมาในปี 2507
รัฐบาลอังกฤษก็ต้องก่อสร้างโรงงานสกัดแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์แบบ Magnox
(Magnox reprocessing plant) ขึ้นอีกหนึ่งโรง
หลังจากพบว่าแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วชนิดนี้
เมื่อนำไปจัดเก็บโดยแช่ไว้ใต้น้ำจะเกิดการกัดกร่อน
ในปี 2537 โรงงานสกัดแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว THORP (Thermal Oxide
Reprocessing Plant) ก็ก่อสร้างเสร็จและเริ่มเปิดใช้งาน โรงงาน THORP
เป็นโรงงานที่นำแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ
WAGR
มาสกัดเอาพลูโตเนียมและยูเรเนียมที่ยังหลงเหลือในแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วออก
มาใช้ประโยชน์ใหม่
โรงงานสุดท้ายที่มีการก่อสร้างขึ้นก็คือโรงงานผลิตแท่งเชื้อเพลิง MOX
เซลลาฟิลด์ (Sellafield MOX Plant) ที่เปิดดำเนินการในปี 2544
เพื่อผลิตเชื้อเพลิง MOX (Mixed-Oxide)
ซึ่งหมายถึงอ็อกไซด์ผสมของพลูโตเนียมและยูเรเนียมที่สกัดได้จากโรงงาน THORP
ประเทศอังกฤษสะสมพลูโตเนียมอ็อกไซด์ไว้เป็นจำนวนมาก
ด้วยความฝันอันสวยหรูว่าวัตถุมหันตภัยนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นกำไรก้อนงามจากการ
ขายแท่งเชื้อเพลิง MOX
ทำให้เซลลาฟิลด์เป็นคลังพลูโตเนียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
โครงการผลิตแท่งเชื้อเพลิง MOX ลงทุนก่อสร้างและดำเนินการมาเป็นเวลา 10 ปี
ก่อนที่จะจบลงด้วยความล้มเหลวไม่เป็นท่า
เพราะมีลูกค้าเพียงไม่กี่ประเทศที่สั่งซื้อเชื้อเพลิงชนิดนี้จากโรงงานเซลลา
ฟิลด์ ลูกค้ารายสำคัญที่สุดคือประเทศญี่ปุ่น
แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุฟูกูชิมะในปี 2554
ทำให้อนาคตของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ในญี่ปุ่นดับวูบ
จนต้องขอยกเลิกคำสั่งซื้อเชื้อเพลิง MOX จากโรงงานเซลลาฟิลด์ทั้งหมด
อย่างน้อยในเวลา 10 ปีข้างหน้านี้
ในเดือนมิถุนายน
2555 “สำนักปลดระวางนิวเคลียร์”
ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้เป็นเจ้าของนิคมนิวเคลียร์เซลลาฟิลด์ได้ประกาศว่า
โรงงานเชื้อเพลิง MOX เซลลาฟิลด์จะต้องถูกปลดระวางในปี 2561
เพื่อเริ่มกระบวนการรื้อถอน
ตามแผนที่สำนักปลดระวางนิวเคลียร์วางไว้ การรื้อถอนและจัดเก็บกากนิวเคลียร์จะเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2663
แหล่งข้อมูล
- Sellafield nuclear waste storage is ‘intolerable risk’, www.bbc.co.uk, 7 Nov. 2012
- Managing risk reduction at Sellafield, National Audit Office, 7 November 2012
- Sellafield swallows contaminated by radioactivity, www.guardian.co.uk, 8 June 2012
- www.sellafieldsites.com
- Wikipedia
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น