ข่าววิกฤตไฟฟ้าที่ประเทศไทยกำลังจะเผชิญในวันที่
5 เมษายนนี้สร้างความแตกตื่นตกใจแก่สังคมเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ออกจากปาก “รัฐมนตรี” ว่าการกระทรวงพลังงาน และ “ผู้ว่าการ”
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
แต่ทว่าขณะนี้กลับมีข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่กำลังเปิดเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
ที่แสดงให้เห็นว่า วิกฤตพลังงานครั้งนี้ แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่วิกฤต แต่เป็น
“ดราม่า” หรือการแสดงละครตบตาประชาชนให้ตื่นตกใจ เพื่อที่จะนำเสนอวาระซ่อนเร้นบางอย่าง
หากทบทวนดูลำดับของข่าวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น
เราจะพบว่ามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนความจริงต่อสาธารณะในหลายๆ เรื่อง ดังนี้
การสร้างข่าว
|
ข้อเท็จจริง
|
ท่อก๊าซไทย-มาเลเซียเสียหายจากการทิ้งสมอเรือ
ต้องปิดซ่อมในเดือนเมษายน
|
ปัญหาเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม
2555 และซ่อมแซมจนใช้งานได้ปกตินานแล้ว
|
ต้องปิดซ่อมท่อก๊าซพม่า
และ ท่อก๊าซไทย-มาเลเซียพร้อมกัน ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าหายไป 6,000 เมกะวัตต์
|
1.
ท่อก๊าซไทย-มาเลเซียไม่ได้ปิดซ่อม
2.
กำลังผลิตไฟฟ้าที่หายไปจากก๊าซพม่ามีเพียง 1,380 เมกะวัตต์เท่านั้น
|
ไทยพยายามเจรจากับพม่าให้เลื่อนกำหนดการปิดซ่อม
แต่พม่ายอมเลื่อนให้เพียง 1 วัน (จาก 4 เม.ย. เป็น 5 เม.ย.)
|
ปัญหาแท่นขุดเจาะก๊าซทรุดทราบมาตั้งแต่ปี
2551 แล้ว และกำหนดหยุดซ่อมในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ กฟผ. ขอเลื่อนกำหนดมาเป็นเดือนเมษายน
(เจตนาให้ตรงกับช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด)
|
ก๊าซพม่าหยุดส่งทำให้กำลังผลิตหายไป
4,100 เมกะวัตต์
|
โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซพม่ามีกำลังผลิตรวม
6,961 เมกะวัตต์ แต่ในจำนวนนี้ 5,581 เมกะวัตต์ สามารถใช้น้ำมันเตาหรือดีเซลได้
ดังนั้น จะมีกำลังผลิตที่หายไปเพียง 1,380 เมกะวัตต์ ไม่ใช่ 4,100 เมกะวัตต์
|
กำลังสำรองมีเหลือเพียง
768 เมกะวัตต์ในวันที่ 5 เมษายน
|
ไม่พูดถึงโรงไฟฟ้า
3 โรงที่ จ.ราชบุรี จำนวน 4,100 เมกะวัตต์ ที่พร้อมเดินเครื่องด้วยน้ำมันเตา/ดีเซล
(โรงไฟฟ้าราชบุรี,
ราชบุรีพาวเวอร์ และไตรเอ็นเนอร์ยี)
|
กล่าวโดยสรุปแล้ว ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟดับ
(Black Out) ในวันที่ 5 เมษายนนี้ ถือว่าไม่ต่างจากภาวะปกติ คือแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะถึงแม้จะไม่มีก๊าซพม่าป้อนให้
แต่กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของไทยก็ยังมีอยู่ในระดับมากกว่า 10% อยู่ดี
ดังข้อเท็จจริงต่อไปนี้
เมกะวัตต์
|
หมายเหตุ
|
|
กำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
|
32,600
|
|
หายไปเพราะก๊าซพม่าหยุดส่ง
|
-1,380
|
ไม่ใช่
-4,100 เมกะวัตต์ดังที่เป็นข่าว
|
กำลังผลิตอื่นๆ
ที่ไม่พร้อมใช้งาน
|
-1,900
|
กฟผ.อ้างว่า
มีโรงไฟฟ้า SPP เขื่อน และอื่นๆ ที่ไม่พร้อมใช้งานในช่วงดังกล่าว
|
กำลังผลิตที่ยังคงอยู่
|
29,320
|
เป็นกำลังผลิตที่พร้อมใช้งาน
|
คาดการณ์ความต้องการไฟฟ้าวันที่
5 เม.ย.
|
26,300
|
ข้อมูลจาก
กฟผ.
|
กำลังผลิตสำรอง
|
3,020
|
กฟผ.ระบุว่า
หากมีกำลังสำรอง 1,200 เมกะวัตต์ขึ้นไป ก็จะถือว่ามั่นคง
|
ตัวเลขทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลของ
กฟผ.เองทั้งสิ้น ดังนั้น จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่รัฐมนตรีพลังงานและ ผู้ว่าการ
กฟผ.จะแสดงอาการเจ๊กตื่นไฟออกมาให้ข่าวจนสังคมเกิดความแตกตื่นตกใจจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจ
การผลิตภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจท่องเที่ยว และอื่นๆ ประเทศไทยเสียหายกับปัญหาน้ำท่วมใหญ่มาหมาดๆ
จะมีไฟดับอีกแล้วหรือ ?
ข้อมูลที่แสดงให้เห็นข้างต้น บ่งชี้ไปในเชิงน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า
เหตุใดจึงต้องให้ข้อมูลเท็จต่อสาธารณะเพื่อสร้างกระแสวิกฤตไฟฟ้า(เทียม) หลายคนคงเดาคำตอบได้ไม่ยากว่า
วาระซ่อนเร้นที่อยู่เบื้องหลังก็คือ รัฐบาลต้องการผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน
(และนิวเคลียร์) ซึ่งสังคมไทยไม่ยินดีต้อนรับนั่นเอง
ในช่วงหลายปีมานี้ กระทรวงพลังงานกล่าวมาโดยตลอดว่า
การที่ประเทศไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามากเกินไป ถือเป็นปัญหาต่อความมั่นคงไฟฟ้า
จำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิง
โดยลดสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติและนำเอาพลังงานถ่านหินและนิวเคลียร์เข้ามาเสริมให้มากขึ้น
แต่พลังงานทั้งสองประเภทนี้มักจะถูกต่อต้านจากประชาชน ดังนั้น
วิกฤตไฟฟ้าครั้งนี้ย่อมทำให้กระแสคัดค้านพลังงานถ่านหินและนิวเคลียร์ขาดความชอบธรรมลงไปพอสมควร
ท่ามกลางความแตกตื่นตกใจของสังคม
รัฐบาลได้ประกาศแล้วว่าจะปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือแผนพีดีพี
โดยเพิ่มโรงไฟฟ้าถ่านหินเข้ามาในแผนถึง 10,000 เมกะวัตต์ แต่ในขณะเดียวกัน ขณะนี้รัฐบาลกำลังเปิดประมูลโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่
(โรงไฟฟ้าไอพีพี) จำนวน 5,400 เมกะวัตต์
ซึ่งกำหนดเงื่อนไขให้เป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทั้งหมด
โดยกระบวนการประมูลจะเสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายนนี้
หากย้อนทบทวนแผนพีดีพีฉบับที่ผ่านๆ มา
เราจะพบว่า เหตุผลที่ใช้ประกอบการจัดทำแผนฯ เป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลต้องการผลักดันเชื้อเพลิงประเภทใดเป็นสำคัญ ดังจะเห็นได้จากแผนพีดีพี
2 ฉบับที่ผ่านมาและฉบับที่กำลังจะปรับปรุงใหม่ ดังนี้
แผน
|
เหตุผลประกอบ
|
โครงการในแผน
|
PDP
2010 ปรับปรุงครั้งที่ 2
|
- สำรองก๊าซธรรมชาติเหลือน้อย
- กระจายความเสี่ยงเชื้อเพลิง
- เพิ่มถ่านหิน, นิวเคลียร์
|
ก๊าซธรรมชาติ
18,400 MW
ถ่านหิน 7,740 MW
นิวเคลียร์ 4,000 MW
|
PDP
2010 ปรับปรุงครั้งที่ 3
(อนุมัติเมื่อ
8 มิถุนายน 2555)
|
เพิ่มก๊าซธรรมชาติ
ลดถ่านหิน, นิวเคลียร์
(ไม่มีคำอธิบาย)
|
ก๊าซธรรมชาติ
25,451 MW
ถ่านหิน 4,400 MW
นิวเคลียร์ 2,000 MW
|
PDP
2013
(กำลังจะปรับปรุง)
|
- กระจายความเสี่ยงเชื้อเพลิง
- เพิ่มถ่านหิน(เมื่อเปิดประมูลโรงไฟฟ้าก๊าซฯ
ไอพีพีเรียบร้อยแล้ว)
|
ก๊าซธรรมชาติ ลดสัดส่วนให้เหลือ 45%
ถ่านหิน 10,000 MW
นิวเคลียร์ ยังไม่ระบุ
|
สิ่งที่ผิดปกติมากก็คือ
ในการอนุมัติแผนพีดีพี 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ซึ่งมีการเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
โดยกำหนดให้เปิดประมูลรับซื้อจากเอกชน (โรงไฟฟ้าไอพีพี) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
(กพช.)
ยังสั่งการให้กระทรวงพลังงานไปจัดทำแผนพีดีพีฉบับใหม่(PDP2012)ในทันทีอีกด้วย นั่นหมายความว่า
การปรับปรุงแผนพีดีพีฉบับที่ใช้อยู่ในขณะนี้ ก็เพื่อเปิดประตูให้มีการประมูลโรงไฟฟ้าเอกชนเท่านั้นเอง
วิกฤตไฟฟ้าที่ถูกโหมประโคมขึ้นครั้งนี้เป็นวิกฤตเทียม
แต่สิ่งที่วิกฤตจริงๆ กลับเป็นวิกฤตของ “ความไม่โปร่งใส”
ในการกำหนดนโยบายพลังงานต่างหาก ที่ถึงกับต้อง “ดราม่า”
หลอกลวงประชาชนโดยไม่สนใจกับความเสียหายของประเทศชาติที่จะตามมาจากข่าวไฟดับ เพื่อแลกกับการได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน
หากสังคมไทยไม่ตรวจสอบแก้ไขระบบการบริหารพลังงานที่ฉ้อฉล
วิกฤตพลังงานย่อมเกิดขึ้นได้อีกทุกเมื่อ ตราบใดที่ผู้มีอำนาจยังสามารถโกหกหลอกลวงประชาชนเพื่อผลักดันวาระซ่อนเร้น
โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
หากรัฐบาลจริงใจที่จะ
“กระจายความเสี่ยงเชื้อเพลิง” สิ่งที่ควรทำในขณะนี้ก็คือการชะลอการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพี
เพื่อจัดทำแผนพีดีพีฉบับใหม่ให้เสร็จเสียก่อน แต่คงไม่มีทางเป็นไปได้
เมื่อพิจารณาจากข่าวการประมูลไอพีพีที่เริ่มมีเสียงบ่นจากผู้เข้าประมูลบางรายว่า
การประมูลครั้งนี้มีการล็อคสเป็กเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทรายหนึ่งเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้จำนวนกำลังผลิตไฟฟ้าที่เปิดประมูลก็สอดรับกับแผนการนำเข้าก๊าซ
LNG ระยะที่ 2 ของ ปตท.ที่จะเพิ่มขึ้นอีก
5 ล้านตันต่อปี
หรือว่า
วิกฤตไฟฟ้า(เทียม)ครั้งนี้ ที่แท้คือคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น