โรง
ไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ ใช้เตาปฏิกรณ์แบบน้ำเดือด หรือ BWR
(Boiling Water Reactor) รวม 6 เครื่อง ขณะเกิดเหตุแผ่นดินไหวในวันที่ 11
มีนาคม 2554 เตาปฏิกรณ์ที่ 4-6 อยู่ระหว่างการปิดซ่อมบำรุง
ส่วนเตาปฏิกรณ์ที่ 1-3 กำลังเดินเครื่องตามปกติ
แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวทำให้เตาปฏิกรณ์ที่ 1-3 ดับเครื่องโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม
ระบบหล่อเย็นยังเป็นสิ่งจำเป็นแม้ในขณะที่เตาปฏิกรณ์อยู่ในภาวะหยุดเดิน
เครื่อง
เพราะแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ยังปลดปล่อยความร้อนและกัมมันตภาพรังสีออกมา
ตลอดเวลาจากปฏิกริยาฟิชชันที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
ปัญหาที่
1 เกิดขึ้นเมื่อแผ่นดินไหวทำให้กระแสไฟฟ้าจากสายส่งถูกตัดขาด
ระบบหล่อเย็นจึงต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟสำรอง(ดีเซล) แต่ไม่ถึง 1
ชั่วโมงต่อมา ปัญหาที่ 2 ก็เกิดขึ้นอีก
เมื่อคลื่นยักษ์สึนามิได้สร้างความเสียหายแก่เครื่องปั่นไฟสำรอง
ทำให้ระบบหล่อเย็นหยุดทำงาน
ระบบไฟฟ้าสำรองสุดท้ายคือแบ็ตเตอรีจึงถูกนำมาใช้
มันถูกออกแบบให้ใช้งานได้นาน 8 ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริง
หลังเกิดแผ่นดินไหวเพียง 4 ชั่วโมง แบ็ตเตอรี่ของเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1 ก็หมด
ทำให้ระบบหล่อเย็นฉุกเฉินล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
และนั่นคือจุดเริ่มของหายนะที่เกิดขึ้น
เมื่อ
ขาดระบบหล่อเย็น อุณหภูมิของแท่งเชื้อเพลิงจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภายใต้อุณหภูมิสูง ผิวแท่งเชื้อเพลิงซึ่งทำจากโลหะ “เซอร์โคเนียม”
ก็เกิดปฏิกริยากับน้ำเกิดเป็นแก๊สไฮโดรเจนสะสมอยู่ในถังปฏิกรณ์
ทำให้ความดันเพิ่มขึ้นอย่างมากและอาจทำให้เตาปฏิกรณ์ระเบิดได้
วิศวกรจึงตัดสินใจปล่อยความดันออกสู่ภายนอกเพื่อป้องกันเตาปฏิกรณ์ระเบิด
ซึ่งสิ่งที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้น นอกจากไอน้ำและสารกัมมันตรังสีแล้ว
ยังมีแก๊สไฮโดรเจนจำนวนมหาศาลอีกด้วย
เมื่อไฮโดรเจนสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศในภาวะที่เหมาะสม
การระเบิดก็เกิดขึ้น เริ่มจากเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1 (12 มีนาคม)
เตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 (14 มีนาคม) และเตาปฏิกรณ์หมายเลข 2 (15 มีนาคม)
นอกจาก
ปัญหาที่เกิดกับเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1-3 แล้ว
เหตุวิกฤตยังเกิดขึ้นกับเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4
ซึ่งไม่มีเชื้อเพลิงอยู่ในเตาปฏิกรณ์
แต่ปัญหาเกิดขึ้นที่บ่อแช่แท่งเชื้อเพลิงใช้แล้ว ซึ่งขาดระบบหล่อเย็น
ทำให้แท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วร้อนขึ้นจนน้ำละเหยออกไปเป็นจำนวนมาก
แก๊สไฮโดรเจนที่เกิดขึ้นจำนวนมหาศาลจากเซอร์โคเนียมสะสมอยู่ในอาคารปฏิกรณ์
และเกิดการระเบิดขึ้นในที่สุด
1.
เมื่อขาดระบบหล่อเย็น
แท่งเชื้อเพลิงจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วจนน้ำเดือดระเหยเป็นไอ
เมื่อระดับน้ำลดลงจนแท่งเชื้อเพลิงโผล่พ้นผิวน้ำ
ผิวแท่งเชื้อเพลิงซึ่งทำจากโลหะ “เซอร์โคเนียม” เมื่ออยู่ในอุณหภูมิสูง
จะทำปฏิกริยากับน้ำเกิดเป็นแก๊สไฮโดรเจนสะสมอยู่ในถังปฏิกรณ์
2. ที่อุณหภูมิ 2,000 องศาเซลเซียส เซอร์โคเนียมจะหลอมละลาย และเมื่อถึง 3,000 องศาเซลเซียส ยูเรเนียมจะเริ่มหลอมละลาย
3. ยูเรเนียมที่หลอมเหลวจะตกลงไปที่ก้นถังปฏิกรณ์ และหลอมทะลุก้นถังปฏิกรณ์
4.
ยูเรเนียมที่หลอมเหลวจะไหลผ่านรูรั่วตกลงไปที่บ่อรองรับ (suppression
pool)
ในขณะที่ความร้อนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปฏิกริยาฟิชชั่นของ
ยูเรเนียม
5.
หากยังไม่สามารถระบายความร้อนของยูเรเนียมได้
ยูเรเนียมหลอมเหลวก็จะหลอมทะลุชั้นคอนกรีตออกสู่ภายนอก
ซึ่งหมายถึงการแพร่กระจายของรังสีที่มีความแรงสูงมาก
ใน
ช่วงสัปดาห์แรกของอุบัติเหตุ บริษัทเท็ปโกแถลงว่า
การระเบิดของอาคารปฏิกรณ์หมายเลข 1, 2 และ 3
ไม่ได้สร้างความเสียหายแก่ถังปฏิกรณ์ (reactor vessel) แต่ในสัปดาห์ที่ 2
ปรากฏว่ามีการพบน้ำปนเปื้อนรังสีระดับเข้มข้นในอาคารกังหันผลิตไฟฟ้าของ
เครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 2
ซึ่งนอกเหนือไปจากน้ำปนเปื้อนรังสีระดับต่ำที่รั่วไหลมาจากบ่อเก็บเชื้อ
เพลิงใช้แล้ว
น้ำปนเปื้อนดังกล่าวได้ไหลไปตามทางน้ำที่เชื่อมระหว่างอาคารและรอยแตกที่
ตรวจไม่พบ และไหลลงสู่ทะเล
ทำให้ระดับรังสีในน้ำทะเลหน้าโรงไฟฟ้าสูงกว่าข้อกำหนดหลายพันเท่า
ต่อ
มาจึงมีการตรวจพบว่า
น้ำปนเปื้อนรังสีสูงเหล่านี้รั่วไหลมาจากภายในถังปฏิกรณ์
ซึ่งอาจเกิดรอยแตกจากการระเบิดหรือรูทะลุจากการหลอมละลายของแท่งเชื้อเพลิง
ซึ่งนอกจากน้ำปนเปื้อนจะไหลไปตามทางน้ำภายในโรงไฟฟ้าแล้ว ยังรั่วไหลไปตาม
“รูร้อยสายไฟฟ้า” ของอาคารเครื่องปฏิกรณ์ด้วย
รอยแตกของ
ถังปฏิกรณ์ คือคำตอบว่า
เหตุใดน้ำจำนวนมหาศาลที่ฉีดเข้าไปในถังปฏิกรณ์จึงมักจะลดระดับลง
และต้องมีการฉีดน้ำเข้าไปตลอดเวลา สรุปแล้ว
ความเสียหายของเตาปฏิกรณ์มีมากกว่าที่บริษัทเท็ปโกชี้แจงมาก.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น