(จับตานิวเคลียร์ ฉบับที่ 16, ก.ค.-ส.ค. 2555)
ภายใต้ปัญหาวิกฤตการณ์โลกร้อนในหลายปีที่ผ่านมา
ความพยายามของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ที่จะชักจูงสังคมโลกให้หันกลับมาใช้
พลังงานนิวเคลียร์เกิดขึ้นขนานใหญ่ภายใต้คำขวัญรณรงค์ “Nuclear
Renaissance” หรือ “ยุคฟื้นฟูของพลังงานนิวเคลียร์”
ที่ถูกอ้างว่าจะเป็นคำตอบของความมั่นคงพลังงานท่ามกลางวิกฤติการณ์การ
เปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลก
อย่างไรก็ตาม
จนถึงบัดนี้
สิ่งที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าพลังงานนิวเคลียร์กำลังกลับมาได้รับความนิยมอีก
ครั้งก็ยังไม่มีปรากฏให้เห็น
โดย
เฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิ
มะเมื่อเดือนมีนาคม 2554 ที่ผ่านมา
ความฝันถึงยุคฟื้นฟูพลังงานนิวเคลียร์ก็ดูจะยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริงออก
ไปมากขึ้นเรื่อยๆ
สถานการณ์ในยุโรป
หลังวิกฤติการณ์นิวเคลียร์ฟูกูชิมะ
เยอรมันเป็นประเทศแรกที่แสดงท่าทีชัดเจนที่สุดที่จะหันหลังให้กับพลังงาน
นิวเคลียร์ โดยในเดือนพฤษภาคม 2554
เยอรมันได้จบข้อถกเถียงภายในประเทศที่ว่าควรจะยืดอายุการใช้งานโรงไฟฟ้า
นิวเคลียร์ของเยอรมันออกไปอีกหรือไม่
ด้วยการประกาศนโยบายเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ให้หมดภายในปี พ.ศ.2565
และอีกหนึ่งเดือนถัดมา รัฐบาลเยอรมันก็สั่งปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 8
เครื่องจากทั้งหมด 17 เครื่องที่มีอยู่ ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ
เยอรมันยังได้ประกาศนโยบายใหม่ที่เรียกว่า “Germany’s Energy Transition”
หรือ “การเปลี่ยนผ่านพลังงานของเยอรมัน”
ซึ่งหมายถึงการกำหนดเป้าหมายของประเทศที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนและ
ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
เพื่อที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงให้ได้ถึง 80% ภายในปี 2050
ที่อิตาลี ความพยายามของประธานาธิบดีซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่
ที่จะรื้อฟื้นโครงการนิวเคลียร์ที่ถูกระงับไปเมื่อปี พ.ศ.2530 กลับมาใหม่
ต้องล้มเลิกไปในเดือนมิถุนายน 2554 เมื่อมีการจัดลงประชามติทั่วประเทศ
ผลปรากฎว่า ชาวอิตาลี 94% สนับสนุนให้หยุดการหันกลับไปหาพลังงานนิวเคลียร์
แม้ว่าก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้พยายามชี้ว่า
อิตาลีมีความจำเป็นต้องพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ประมาณ 20% ในปี พ.ศ. 2563
ก็ตาม
เบลเยียม
คือประเทศถัดมาที่บอกเลิกกับพลังงานนิวเคลียร์ โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2546
เบลเยียมได้ออกกฎหมายกำหนดให้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่มีอยู่ 7
เครื่องในประเทศ มีอายุการใช้งานได้ไม่เกิน 40 ปี ในเดือนพฤศจิกายน 2554
รัฐบาลเบลเยียมได้ยืนยันนโยบายดังกล่าวอีกครั้ง
โดยตัดสินใจที่จะให้ปิดเตาปฏิกรณ์ 3 เครื่องที่เก่าที่สุดใน 3 ปีข้างหน้า
(พ.ศ.2558) และเตาปฏิกรณ์เครื่องสุดท้ายของประเทศจะต้องถูกปิดในปี พ.ศ.2568
ที่สวิตเซอร์แลนด์ เดือนพฤษภาคม 2554
หลังอุบัติเหตุฟูกูชิมะ 2 เดือน
มีการรณรงค์คัดค้านพลังงานนิวเคลียร์ของประชาชนครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศใน
รอบ 25 ปี และหลายวันต่อมา
รัฐบาลก็ได้มีมติห้ามไม่ให้มีการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เครื่องใหม่
ขึ้นในประเทศอีก
ขณะนี้สวิตเซอร์แลนด์มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ใช้งานอยู่ทั้งสิ้น 5
เครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 40% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งประเทศ
เตาปฏิกรณ์เหล่านี้ได้รับอนุญาตให้ใช้งานต่อไปได้จนครบอายุใช้งาน
ซึ่งเครื่องสุดท้ายจะหมดอายุลงในปี พ.ศ.2577 หลังจากนั้น
สวิตเซอร์แลนด์ก็จะเป็นประเทศที่ปลอดจากพลังงานนิวเคลียร์
นอกจากการตัดสินใจระดับชาติที่จะเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์แล้ว
ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคมที่ผ่านมา
ในยุโรปยังมีโครงการนิวเคลียร์ที่ต้องพบกับอุปสรรคในอีก 4 ประเทศ
เริ่มตั้งแต่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในเดือนมกราคม บริษัท Delta NV
ตัดสินใจเลื่อนโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาด 1,650-2,500
เมกะวัตต์ออกไป 2-3 ปี โดยอ้างว่าสภาพเศรษฐกิจขณะนี้ทำให้ลงทุนได้ยาก
แต่ที่จริงอาจจะเป็นเพราะว่าต้นทุนโครงการนี้แพงมาก
เนื่องจากรัฐบาลจะไม่ให้การอุดหนุนทางการเงินแก่โครงการนี้ โดยนายแม็กซิม
เวอร์ฮาเกน รัฐมนตรีกระทรวงการเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์กล่าวว่า
“มันขึ้นอยู่กับบริษัทพลังงานที่จะตัดสินใจลงทุน
ส่วนรัฐบาลจะไม่เอาภาษีของประชาชนไปก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์”
ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2555
ที่ประเทศโปแลนด์ซึ่งมีแผนจะก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกของประเทศ
ได้มีการจัดลงคะแนนเสียงประชามติของประชาชนในพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นเป้า
หมายในการก่อสร้างโครงการ และปรากฎผลออกมาว่าเสียงประชามติ 94%
คัดค้านโครงการดังกล่าว
ส่วนที่ประเทศบูลแกเรีย
เมื่อเดือนมีนาคม 2555
ที่ผ่านมาได้มีการตัดสินใจยกเลิกโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงที่ 2
ของประเทศที่ Belene
ที่มีเป้าหมายจะนำมาใช้ทดแทนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงเดิมที่มีอยู่เพียงแห่ง
เดียว (โรงไฟฟ้า Kozloduy)
และจะต้องถูกปิดไปตามเงื่อนไขของสหภาพยุโรปในการยอมรับบูลแกเรียเข้าเป็น
สมาชิก
โรงไฟฟ้าแห่งใหม่นี้ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทจากรัสเซียให้เป็นผู้ก่อสร้าง
แต่ด้วยปัญหาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นมาก
ทำให้รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกการก่อสร้างไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม
บูลแกเรียต้องเสียเงินไปแล้วประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ให้แก่รัสเซียที่ได้ก่อสร้างเตาปฏิกรณ์เตรียมนำมาติดตั้งในโครงการไว้แล้ว
สำหรับรัสเซียเอง บริษัทนิวเคลียร์ Rosatom
ซึ่งรัฐบาลรัสเซียเป็นเจ้าของได้ประกาศยกเลิกการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์
นิวเคลียร์ Kursk-5
เนื่องจากเตาปฏิกรณ์เครื่องนี้มีการออกแบบที่คล้ายคลึงกับเตาปฏิกรณ์
นิวเคลียร์ที่ฟูกูชิมะ
สหรัฐอเมริกา
แม้สหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศที่มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์มากที่สุดเป็นอันดับ
หนึ่งของโลก แต่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 เป็นต้นมา นับเป็นเวลากว่า 34
ปีมาแล้วที่สหรัฐไม่มีการอนุมัติใบอนุญาตก่อสร้างเตาปฏิกรณ์เครื่องใหม่เลย
แต่รัฐบาลสหรัฐตั้งแต่สมัยจอร์จ บุช
มาจนถึงโอบาม่าก็ได้พยายามฟื้นฟูอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ด้วยการออกกฏหมาย
พลังงานฉบับใหม่เพื่อใช้เงินภาษีในการอุดหนุนกิจการนิวเคลียร์
และแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้
คณะกรรมการกำกับนิวเคลียร์สหรัฐก็ได้ออกใบอนุญาตก่อสร้างเตาปฏิกรณ์เครื่อง
แรกในรอบ 34 ปีในสหรัฐ ซึ่งจะก่อสร้างจำนวน 2 เครื่องที่โรงไฟฟ้าว็อคเทิล
ในรัฐจอร์เจีย
แต่โครงการนี้จะสามารถก่อสร้างได้สำเร็จหรือไม่ยังต้องคอยดูกัน
เพราะมีตัวอย่างกรณีโรงไฟฟ้าวัตตส์ บาร์ หน่วยที่ 2
ในรัฐเทนเนสซี่ที่ได้รับใบอนุญาตและเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2515
แต่ขณะนี้ 40 ปีผ่านไปแล้วก็ยังก่อสร้างไม่เสร็จ
เมื่อปีที่แล้ว บริษัท NRG Energy
ก็ได้ยกเลิกโครงการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์รุ่นใหม่ 2 เครื่องที่เซาธ์ เท็กซัส
เพราะความไม่แน่นอนของต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ
ได้เสียเงินในการพัฒนาโครงการนี้ไปแล้ว 481 ล้านเหรียญ
“ยุคฟื้นฟูของพลังงานนิวเคลียร์”
ในสหรัฐอเมริกาก็เป็นเช่นเดียวกับยุโรปที่ดูจะเป็นความฝันที่ห่างไกลจากความ
จริง เมื่อเร็วนี้ จอห์น โรว์ อดีตซีอีโอของบริษัท Exelon
บริษัทนิวเคลียร์ยักษ์ใหญ่อับดับหนึ่งของอเมริกาที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง
22 โรง ได้กล่าวว่า
“ผมขอพูดตรงๆ ว่า
ผมไม่เคยเจอโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงไหนที่ผมไม่ชอบเลย
และเมื่อพูดอย่างนี้แล้ว ผมก็ขอพูดให้ชัดๆ ด้วยว่า
ขณะนี้ไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงใหม่โรงไหนเลยที่มีเหตุผลสมควรจะทำ”
บริษัทนิวเคลียร์กำลังตกต่ำ
ความไร้อนาคตของพลังงานนิวเคลียร์ สะท้อนออกมาให้เห็นจากสถานะภาพของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ในขณะนี้
เมื่อเดือนมีนาคม 2555 บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ 2
แห่งในยุโรปคือ RWE และ E.On จากประเทศเยอรมัน
ได้ตัดสินใจถอนตัวจากการรับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2
โรงในประเทศอังกฤษ ด้วยปัญหาเกี่ยวกับการเงิน ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2555
ที่ผ่านมา บริษัท RWE
ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อันดับสองของเยอรมันยังได้ประกาศว่า บริษัทฯ
จะไม่มีการลงทุนในโครงการนิวเคลียร์อีกต่อไป
แต่จะหันไปที่การลงทุนกับโซล่าร์เซลล์ ทั้งในประเทศเยอรมันเองและที่อื่นๆ
ของโลกด้วย
ก่อนหน้านี้
หลังจากอุบัติเหตุที่ฟูกูชิมะได้ไม่นาน บริษัทซีเมนส์ -
ยักษ์ใหญ่อีกเจ้าหนึ่งของเยอรมันก็ประกาศว่าจะเลิกทำธุรกิจนิวเคลียร์เช่น
กัน
ในขณะนี้
ธุรกิจของบริษัทนิวเคลียร์ยักษ์ใหญ่ของโลกหลายแห่งกำลังมีฐานะที่ไม่สู้ดี
นัก ตัวอย่างเช่นบริษัท Enel ของอิตาลี ขณะนี้มีหนี้สินมากถึง 44,900
ล้านยูโร และบริษัท EDF ของรัฐบาลฝรั่งเศสก็มีหนี้สินสูงถึง 33,300
ล้านยูโร ส่วนบริษัท Areva -
ยักษ์ใหญ่นิวเคลียร์อีกเจ้าของฝรั่งเศสก็มีรายได้ลดลงถึง 2,400
ล้านยูโรเมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่บริษัทมิตซูบิชิ -
ยักษ์ใหญ่นิวเคลียร์ของญี่ปุ่นก็กำลังขอซื้อบริษัทกังหันลม Vestas
ของเดนมาร์ค เพื่อหันไปลงทุนในพลังงานลม
อุบัติเหตุนิวเคลียร์ฟูกูชิมะได้ส่งผลต่ออุตสาหกรรมนิวเคลียร์ทั่วโลกที่จะ
ต้องปรับปรุงยกระดับความปลอดภัยของเทคโนโลยีให้สูงขึ้น
ซึ่งมันหมายถึงต้นทุนพลังงานนิวเคลียร์ที่ต้องสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
และนี่คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้พลังงานนิวเคลียร์ไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาด
จนในที่สุด
อาจทำให้บริษัทพลังงานอีกหลายแห่งต้องยุบทิ้งแผนกนิวเคลียร์ของตัวเองเช่น
เดียวกับ RWE และซีเมนส์
กล่าวโดยสรุปแล้ว
“ยุคฟื้นฟูของพลังงานนิวเคลียร์”
ถือเป็นความฝันที่ยังไม่มีทางเป็นจริงได้ในอนาคตอันใกล้นี้
และอาจจะไม่มีวันเป็นจริงเลยตลอดกาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น